ความเสี่ยงและผลตอบแทนของการเทรดหุ้น

ความเสี่ยงของการเทรดหุ้น

ความเสี่ยงในการเทรดหุ้น เป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ สำหรับนักลงทุนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้เริ่มต้นหรือมืออาชีพ การเข้าใจและการจัดการกับความเสี่ยงเหล่านี้ เป็นส่วนสำคัญของกระบวนการลงทุน และช่วยให้นักลงทุนสามารถป้องกัน และลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับพอร์ตการลงทุนของตนได้ โดยความเสี่ยงของการเทรดหุ้น มีดังนี้

ความเสี่ยงจากตลาด (Market Risk)

ความเสี่ยงจากตลาด หรือที่เรียกว่า “ความเสี่ยงระบบ” (Systemic Risk) คือความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นโดยรวม ไม่ว่าจะเป็นตลาดในประเทศหรือตลาดทั่วโลก ความเสี่ยงนี้ส่งผลกระทบไปยังหลายๆ หุ้นในตลาด และมักจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือลดลงได้ ด้วยการกระจายการลงทุนเพียงอย่างเดียว ซึ่งปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดความเสี่ยงจากตลาด ได้แก่

  • เศรษฐกิจ : การเปลี่ยนแปลงในเศรษฐกิจโดยรวม เช่น อัตราการเติบโตของ GDP อัตราเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ย  สามารถส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นโดยรวม
  • เหตุการณ์ทางการเมืองและกฎหมาย : เหตุการณ์ เช่น การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง กฎระเบียบใหม่ หรือความไม่แน่นอนทางการเมือง สามารถส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้ลงทุน และทำให้ตลาดหุ้นมีความผันผวน
  • ภัยธรรมชาติและภาวะฉุกเฉิน : เหตุการณ์ไม่คาดคิด เช่น ภัยธรรมชาติ การระบาดของโรค หรือความขัดแย้งทางสงคราม สามารถทำให้ตลาดหุ้นแต่ละแห่ง หรือทั่วโลก ตกอยู่ในภาวะวิกฤติ
  • การเปลี่ยนแปลงในตลาดต่างประเทศ : การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจหรือการเมืองในตลาดหลัก อย่างสหรัฐอเมริกา จีน หรือยุโรป สามารถส่งผลกระทบไปยังตลาดทั่วโลก ทำให้ราคาหุ้นและดัชนีต่างๆ มีความผันผวน

ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน : การเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยน สามารถส่งผลกระทบต่อบริษัท ที่มีการดำเนินงาน หรือรายได้จากต่างประเทศ ซึ่งอาจส่งผลให้ตลาดหุ้นมีความผันผวน

ความเสี่ยงจากบริษัท (Company-Specific Risk)

ความเสี่ยงจากบริษัท หรือที่เรียกว่า “ความเสี่ยงที่ไม่ใช่ระบบ” (Non-Systemic Risk) คือ ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับปัญหา หรือความไม่แน่นอนเฉพาะของบริษัทที่คุณลงทุน ความเสี่ยงนี้สามารถลดลงได้ ผ่านการกระจายการลงทุน โดยปัจจัยที่ทำให้เกิดคยามเสี่ยงจากบริษัท ได้แก่

  • ผลประกอบการของบริษัท : ผลกำไรที่ลดลง หรือความไม่มั่นคงทางการเงินของบริษัท สามารถทำให้ราคาหุ้นตกต่ำ รวมถึงปัญหา เช่น หนี้สูง หรือรายได้ที่ลดลง
  • การจัดการบริษัท : การเปลี่ยนแปลงในการจัดการ หรือความล้มเหลวในการจัดการ สามารถส่งผลเสียต่อการดำเนินงาน และการเติบโตของบริษัท นอกจากนี้ ความไม่โปร่งใสหรือการตัดสินใจที่ผิดพลาดของผู้บริหาร สามารถนำไปสู่การลดลงของมูลค่าหุ้น
  • การแข่งขันในอุตสาหกรรม : การเพิ่มขึ้นของการแข่งขัน หรือการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรม สามารถส่งผลเสียต่อบริษัทที่คุณลงทุน เช่น การเข้ามาของคู่แข่งใหม่ หรือเทคโนโลยีใหม่ ที่ก่อให้เกิดการล้าสมัย
  • ปัญหาทางกฎหมายและกฎระเบียบ : คดีความ การเปลี่ยนแปลงกฎหมาย หรือการตรวจสอบจากหน่วยงานกำกับดูแล สามารถนำไปสู่การลดลงของมูลค่าหุ้น และความเชื่อมั่นของผู้ลงทุน
  • ความเสี่ยงของผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยี : ความล้มเหลวในการพัฒนาหรืออัพเดทผลิตภัณฑ์ หรือเทคโนโลยีที่ล้าสมัย สามารถส่งผลเสียต่อรายได้ และมูลค่าของบริษัท
  • ความเสี่ยงด้านเครดิตและหนี้ : หากบริษัทมีหนี้มากเกินไป หรือเผชิญกับปัญหาในการชำระหนี้ สิ่งนี้อาจนำไปสู่การลดลงของราคาหุ้น และความเสี่ยงในการล้มละลาย

ความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Risk)

ความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยในการเทรดหุ้น เป็นความเสี่ยงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยในเศรษฐกิจ ซึ่งสามารถมีผลกระทบทั้งในทางบวกและทางลบต่อตลาดหุ้น และบริษัทต่างๆ ซึ่งประเด็นหลักๆ เกี่ยวกับความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย ได้แก่

  • ผลกระทบต่อค่าเงิน : เมื่อธนาคารกลางเพิ่มอัตราดอกเบี้ย เงินจะมีค่ามากขึ้น และนักลงทุนอาจย้ายเงินลงทุนจากหุ้น ไปยังตราสารหนี้ หรือการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า เช่น เงินฝาก ทำให้ราคาหุ้นลดลง
  • ต้นทุนการกู้ยืมเพิ่มขึ้น : สำหรับบริษัทที่มีการกู้ยืมเงิน อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น หมายความว่า ต้นทุนในการกู้ยืมเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจลดกำไรและผลประกอบการโดยรวม
  • ผลกระทบต่อรายได้จากการลงทุน : บริษัทที่มีรายได้จากการลงทุนในตราสารหนี้ อาจพบว่า ผลตอบแทนลดลง เมื่ออัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น เนื่องจากมูลค่าของตราสารหนี้ที่มีอยู่อาจลดลง
  • ผลกระทบต่อการเติบโตและการขยายตัว : บริษัทที่ต้องการขยายธุรกิจ อาจพบว่า มันยากขึ้นในการเข้าถึงเงินทุนหรือการกู้ยืมเงิน ที่อัตราดอกเบี้ยสูง ซึ่งอาจชะลอการเติบโตของบริษัท
  • ความสัมพันธ์กับตราสารหนี้ : หุ้นบางประเภท เช่น หุ้นปันผล อาจมีความสัมพันธ์แบบตรงกันข้ามกับอัตราดอกเบี้ย เพราะเมื่ออัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น นักลงทุนอาจหันไปลงทุนในตราสารหนี้ ที่มองว่ามีความปลอดภัยสูงกว่า  ทำให้ความต้องการหุ้นปันผลลดลง และราคาหุ้นลดลง

ความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ (Inflation Risk)

ความเสี่ยงจากเงินเฟ้อในการเทรดหุ้น เป็นความเสี่ยงที่นักลงทุนต้องเผชิญ เมื่อมูลค่าจริงของเงินทุน และผลตอบแทนจากการลงทุนลดลง เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของระดับราคาโดยทั่วไปในเศรษฐกิจ ความเสี่ยงนี้ส่งผลกระทบทางตรงและทางอ้อมต่อตลาดหุ้น ดังนี้

  • การลดลงของอำนาจซื้อ : เงินเฟ้อที่สูงขึ้น หมายถึง การลดลงของอำนาจซื้อ เนื่องจากเงินเดียวกัน ซื้อของได้น้อยลง สำหรับนักลงทุน หากอัตราผลตอบแทนจากหุ้น ไม่สามารถเอาชนะอัตราเงินเฟ้อได้ พวกเขาจะสูญเสียมูลค่าจริงของการลงทุน
  • ผลกระทบต่ออัตรากำไรของบริษัท : เงินเฟ้อสามารถเพิ่มต้นทุนการผลิต และการดำเนินงานสำหรับบริษัท หากบริษัทไม่สามารถถ่ายทอดต้นทุนเหล่านั้น ไปยังผู้บริโภคได้ อัตรากำไรของบริษัทอาจลดลง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อราคาหุ้น และผลตอบแทนของนักลงทุน
  • การเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงิน : เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ธนาคารกลางอาจเพิ่มอัตราดอกเบี้ย ซึ่งสามารถทำให้ต้นทุนการกู้ยืมเงินสำหรับบริษัท และนักลงทุนเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ การเพิ่มอัตราดอกเบี้ยยังสามารถลดความน่าสนใจของหุ้น เมื่อเทียบกับตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงน้อยกว่า
  • ความผันผวนของตลาด : ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับเงินเฟ้อ อาจนำไปสู่ความผันผวนในตลาดหุ้น เนื่องจากนักลงทุนตอบสนองต่อข้อมูลเศรษฐกิจ และการปรับนโยบายของธนาคารกลาง
  • การปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุน : เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ นักลงทุนอาจต้องหาสินทรัพย์ที่ป้องกันเงินเฟ้อ เช่น ทองคำหรือหุ้นในบริษัท ที่สามารถปรับราคาสินค้าหรือบริการตามเงินเฟ้อได้ ซึ่งอาจต้องการการปรับโครงสร้างพอร์ตการลงทุนอย่างต่อเนื่อง

ความเสี่ยงจากสภาพคล่อง (Liquidity Risk)

  • ความยากในการเข้าหรือออกจากตำแหน่ง : ในตลาดที่มีสภาพคล่องต่ำ ผู้ลงทุนอาจพบว่า ยากที่จะซื้อหรือขายหุ้นในปริมาณที่ต้องการ โดยไม่ส่งผลให้ราคาหุ้นเปลี่ยนแปลงไป
  • สเปรดของราคา : สเปรดคือความต่าง ระหว่างราคาซื้อ (bid) และราคาขาย (ask) ของหุ้น ในตลาดที่มีสภาพคล่องน้อย สเปรดมักจะกว้าง ทำให้ผู้ลงทุนต้องจ่ายมากขึ้นเมื่อซื้อหุ้น และได้รับน้อยลงเมื่อขายหุ้น
  • ผลกระทบต่อราคา (Price Impact) : ในตลาดที่สภาพคล่องต่ำ การทำธุรกรรมขนาดใหญ่ สามารถเปลี่ยนแปลงราคาของหุ้นได้ ซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนขายหุ้นได้ในราคาที่ต่ำกว่าที่คาดหวัง
  • ความยากในการประเมินมูลค่า : หุ้นที่มีสภาพคล่องต่ำ อาจมีข้อมูลที่จำกัด ทำให้ยากต่อการวิเคราะห์และประเมินมูลค่าอย่างเหมาะสม

ความเสี่ยงจากอารมณ์ (Emotional Risk)

ความเสี่ยงจากอารมณ์ในการเทรดหุ้น เป็นความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบของอารมณ์ส่วนบุคคล ต่อการตัดสินใจทางการลงทุน บ่อยครั้งที่นักลงทุนทำการตัดสินใจ โดยไม่ได้มาจากข้อมูลหรือการวิเคราะห์ แต่ตัดสินใจจากอารมณ์ ดังนี้

  • ความตื่นตระหนก (Panic Selling) : ในช่วงตลาดหุ้นตก บางครั้งนักลงทุนอาจตัดสินใจขายหุ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียเพิ่มเติม การตัดสินใจดังกล่าว มักเกิดจากความกลัว และอาจนำไปสู่การขายหุ้นในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่เหมาะสม
  • ความโลภ (Greed) : ในช่วงที่ตลาดหุ้นเติบโต ความโลภอาจทำให้นักลงทุนละเลยความเสี่ยง และตัดสินใจลงทุนเพิ่มเติม โดยไม่ได้พิจารณาถึงศักยภาพของความสูญเสีย
  • การตามฝูง (Herd Behavior) : นักลงทุนบางคน อาจตัดสินใจลงทุนโดยอิงจากการกระทำของนักลงทุนคนอื่นๆ  โดยไม่ได้พิจารณาถึงข้อมูล หรือการวิเคราะห์อย่างเหมาะสม การลงทุนโดยตามฝูง สามารถนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาด
  • การยึดติดกับการสูญเสีย (Loss Aversion) : นักลงทุนบางคน อาจไม่ยอมขายหุ้นที่ขาดทุน เพราะหวังว่าราคาจะกลับมาขึ้น การตัดสินใจนี้ สามารถทำให้พวกเขาสูญเสียโอกาสในการลงทุนในตัวเลือกที่ดีกว่า

ความเสี่ยงจากความผันผวน (Volatility Risk)

ความเสี่ยงจากความผันผวนในการเทรดหุ้น เป็นความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และไม่คาดคิด เกี่ยวกับราคาหุ้น ความผันผวนสามารถทำให้ราคาหุ้นขึ้นลงอย่างมากในช่วงเวลาสั้นๆ และมีหลายสาเหตุที่ทำให้เกิดความผันผวน รวมถึงข่าวสารของบริษัท การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ ความไม่แน่นอนทางการเมือง และปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลต่อความรู้สึกของตลาด 

  • ความไม่แน่นอนของราคาหุ้น : ความผันผวนที่สูง สามารถทำให้ราคาหุ้นเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้ยากต่อการทำนายราคาในอนาคต นักลงทุนอาจพบว่า หุ้นที่พวกเขาซื้อด้วยราคาสูง กำลังลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ขาดทุน หากต้องขายในจังหวะนั้น
  • การตัดสินใจภายใต้ความกดดัน : ความผันผวนสูง สามารถสร้างความกดดันให้กับนักลงทุน ทำให้พวกเขาตัดสินใจขายหรือซื้อ โดยไม่ได้พิจารณาอย่างรอบคอบ ซึ่งอาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาด
  • ความยากในการจัดการพอร์ตการลงทุน : สำหรับนักลงทุนที่มีแผนการลงทุนระยะยาว ความผันผวนสูงอาจทำให้ยากต่อการรักษากลยุทธ์ และปรับพอร์ตการลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง
  • ผลกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุน : ความผันผวนสามารถทำให้นักลงทุนรู้สึกวิตกกังวล และอาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ขับเคลื่อนด้วยอารมณ์ ซึ่งทำให้เกิดความเสี่ยงทางด้านอารมณ์ได้

ความเสี่ยงจากการเมืองและการกำกับดูแล (Political and Regulatory Risk)

ความเสี่ยงจากการเมืองและการกำกับดูแลในการเทรดหุ้น คือ ความเสี่ยงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงในนโยบายของรัฐบาล  กฎหมายใหม่ๆ หรือการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ซึ่งสามารถส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้น และมูลค่าของบริษัทได้ 

  • นโยบายทางการเมืองและการเปลี่ยนแปลงในรัฐบาล : การเลือกตั้งที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงรัฐบาล สามารถนำมาซึ่งนโยบายใหม่ ที่อาจส่งผลต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้น เช่น การเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษี นโยบายแรงงาน หรือนโยบายการค้า
  • การกำกับดูแลและกฎหมายใหม่ : การแนะนำหรือการเปลี่ยนแปลงกฎหมาย และการกำกับดูแล สามารถมีผลกระทบต่อธุรกิจโดยตรง เช่น การกำหนดมาตรฐานการรายงานทางการเงินใหม่ หรือการควบคุมด้านสิ่งแวดล้อม  ซึ่งอาจส่งผลต่อต้นทุนและผลกำไรของบริษัท
  • ความไม่แน่นอนทางการเมือง : ความไม่แน่นอน เช่น ความไม่สงบทางการเมือง การประท้วง หรือความตึงเครียดระหว่างประเทศ สามารถสร้างความผันผวนในตลาดหุ้นได้ นักลงทุนอาจเห็นการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นอย่างรวดเร็วเนื่องจากความกังวลต่อสถานการณ์
  • การจำกัดการลงทุนและการค้า : นโยบายการค้า เช่น ภาษีนำเข้า และการห้ามส่งออก สามารถส่งผลกระทบต่อบริษัท ที่มีการดำเนินงานทั่วโลก รวมถึงส่งผลกระทบต่อต้นทุนวัตถุดิบ และตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์

ผลตอบแทนของการเทรดหุ้น

ผลตอบแทนของการเทรดหุ้น คือ มีผลเพียง 2 อย่าง นั่นคือ กำไร หรือ ขาดทุน ที่นักลงทุนจะได้รับจากการซื้อและขายหุ้น  ซึ่งผลตอบแทนนี้ สามารถวัดได้จากหลายปัจจัย และมีหลายรูปแบบ โดยผลตอบแทนของการเทรดหุ้นมีหลายรูปแบบ ดังนี้

ผลตอบแทนจากการเพิ่มขึ้นของราคาหุ้น (Capital Gains)

  • ผลตอบแทนจากการเพิ่มขึ้นของราคาหุ้น (Capital Gains) เกิดขึ้นเมื่อนักลงทุนขายหุ้น ในราคาที่สูงกว่าราคาที่พวกเขาซื้อมา  
  • ตัวอย่างเช่น หากคุณซื้อหุ้นในราคา 100 บาทต่อหุ้น และขายที่ราคา 150 บาทต่อหุ้น คุณจะได้รับผลตอบแทนจากการเพิ่มขึ้นของทุน (capital gain) จำนวน 50 บาทต่อหุ้น

ผลตอบแทนแบบปันผล (Dividends)

  • เป็นการแบ่งปันผลกำไรของบริษัทไปยังผู้ถือหุ้น 
  • บางบริษัทจ่ายผลปันผลอย่างสม่ำเสมอ (เช่น ทุกๆ ไตรมาสหรือทุกปี) ขึ้นอยู่กับนโยบายการจ่ายเงินปันผล และสถานะทางการเงินของบริษัท

ผลตอบแทนรวม (Total Return)

  • เป็นการจ่ายผลตอบแทน แบบรวมถึงทั้งผลตอบแทนจากการเพิ่มขึ้นของทุน (capital gains) และผลปันผล 
  • ซึ่งสะท้อนถึงรูปแบบผลตอบแทนโดยรวมจากการลงทุนในหุ้น

ผลตอบแทนที่ปรับตามความเสี่ยง (Risk-Adjusted Return)

  • การประเมินผลตอบแทนนี้ จะคำนึงถึงความเสี่ยงที่นักลงทุนต้องรับ ซึ่งช่วยให้สามารถเปรียบเทียบผลตอบแทนจากการลงทุน ที่มีระดับความเสี่ยงที่ต่างกัน