เรียนรู้วิธีการวิเคราะห์ทางเทคนิคและพื้นฐานสำหรับการเทรดหุ้น

บทคัดย่อ

  • กลยุทธ์การเทรดหุ้นด้วยการวิเคราะห์ทางเทคนิคมีหลายแบบ เช่น Scalping ที่เน้นทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาสั้น ๆ, Day Trading ที่ซื้อขายจบในวัน, และ Swing Trading ที่ใช้ประโยชน์จากรอบการเหวี่ยงตัวของราคาเป็นช่วงหลายวันถึงหลายสัปดาห์
  • การวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นวิธีศึกษาพฤติกรรมราคาหุ้นผ่านกราฟและอินดิเคเตอร์ต่าง ๆ เพื่อคาดการณ์แนวโน้มในอนาคต โดยเน้นการเก็งกำไรระยะสั้น
  • เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอย่างอินดิเคเตอร์ยอดนิยม เช่น RSI ช่วยวิเคราะห์โมเมนตัมเพื่อหาจังหวะเข้าซื้อ-ขาย, MACD ใช้จับสัญญาณแนวโน้ม, และ Moving Averages ใช้ติดตามแนวโน้มราคา

ลองนึกภาพว่าคุณกำลังจะออกผจญภัยในโลกของการเทรด แต่แทนที่จะพึ่งพาดวงที่ไม่แน่นอน คุณสามารถใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นอาวุธเพื่อเอาตัวรอดและทำกำไรได้ ในบทความนี้เราจะพาคุณสำรวจสองศาสตร์แห่งการเทรดนี้แบบเข้าใจง่าย พร้อมตัวอย่างการสร้างกลยุทธ์ที่ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หรือเทรดเดอร์มือเก๋าก็ใช้ได้ เตรียมตัวให้พร้อมแล้วไปทำความรู้จักกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคและพื้นฐานสำหรับการเทรดหุ้นได้จากบทความนี้

พื้นฐานการเทรดหุ้น: มีกลยุทธ์อะไรให้ใช้เทรดหุ้นบ้าง

การเทรดหุ้นมีหลากหลายกลยุทธ์ที่นักลงทุนสามารถเลือกใช้ให้เหมาะสมกับสไตล์และเป้าหมายของตนเอง

1. Scalper – จับจังหวะระยะสั้นสุด ล็อกกำไรทันที

Scalping เป็นกลยุทธ์ที่เน้นทำกำไรจากความเคลื่อนไหวของราคาในช่วงเวลาสั้นมาก โดยอาจใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีหรือไม่กี่นาทีเท่านั้น และทำการซื้อ-ขายหุ้นหลายครั้งต่อวันโดยหวังเก็บกำไรเล็กๆ ในแต่ละครั้งสะสมเป็นก้อนใหญ่ มักใช้กราฟระยะสั้น เช่น ต่ำกว่า 1 นาที หรือ ไม่กี่นาที และต้องมีการบริหารความเสี่ยงที่ดีเพื่อลดโอกาสขาดทุน

2. Day Trader – เทรดเร็ว เน้นจบในวัน

Day Trading คือ กลยุทธ์ที่เทรดเดอร์ซื้อและขายหุ้นภายในวันเดียว โดยพยายามทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาในช่วงเวลาสั้น ๆ เทรดเดอร์ประเภทนี้มักใช้กราฟระยะสั้น เช่น กราฟ 1 นาที, 5 นาที หรือ 15 นาทีเพื่อหาระยะเล่นสั้นในวัน และอาศัยอินดิเคเตอร์ทางเทคนิค เช่น RSI, MACD และ Moving Averages ที่เน้นการเทรดเร็ว เป็นกลยุทธ์ที่มีความเสี่ยงและอาศัยวินัยสูง

3. Swing Trader – จับจังหวะทำกำไรจากรอบการเหวี่ยงตัวของราคา

Swing Trading เป็น การเทรดที่ใช้ระยะเวลานานกว่า Day Trading โดยมุ่งเน้นการทำกำไรจากการแกว่งตัวของราคาหุ้นในช่วงระยะเวลาตั้งแต่ 2-3 วันไปจนถึงหลายสัปดาห์ ใช้ทั้งการวิเคราะห์ทางเทคนิคและปัจจัยพื้นฐานเพื่อหาจุดเข้าและออกที่เหมาะสม เช่น แนวรับ-แนวต้าน, รูปแบบกราฟแท่งเทียน และอินดิเคเตอร์อย่าง Bollinger Bands และ Fibonacci Retracement เหมาะกับคนที่ไม่ต้องการเฝ้าจอตลอดวัน

Figure พื้นฐานการเทรดด้วยกลยุทธ์ประกอบด้วยกลยุทธ์หลากหลาย เช่น Scalping, Day Trading และ Swing Trade

ทำความรู้จักการวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis)

การวิเคราะห์ทางเทคนิค เป็นการศึกษาพฤติกรรมราคาหุ้นในอดีตผ่านกราฟและอินดิเคเตอร์ทางเทคนิคต่าง ๆ เพื่อนำมาคาดการณ์แนวโน้มราคาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยเชื่อว่าราคาหุ้นสะท้อนปัจจัยทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับบริษัทและตลาดอยู่แล้ว เทรดเดอร์ที่ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคมักให้ความสำคัญกับแนวโน้มราคา ปริมาณการซื้อขาย และรูปแบบกราฟมากกว่าปัจจัยพื้นฐานของบริษัท

ความแตกต่างระหว่างการวิเคราะห์ทางเทคนิคและการวิเคราะห์เชิงพื้นฐาน

ปัจจัย การวิเคราะห์ทางเทคนิค การวิเคราะห์เชิงพื้นฐาน
แนวคิด ใช้กราฟและอินดิเคเตอร์เพื่อคาดการณ์แนวโน้มราคา ศึกษาปัจจัยทางธุรกิจและเศรษฐกิจเพื่อประเมินมูลค่าหุ้น
เป้าหมาย หาจังหวะเข้าซื้อ-ขายจากแนวโน้มและรูปแบบราคา หามูลค่าที่แท้จริงของหุ้นเพื่อลงทุนระยะยาว
เครื่องมือที่ใช้ กราฟแท่งเทียน, เส้นแนวรับ-แนวต้าน, อินดิเคเตอร์ เช่น RSI, MACD, Moving Averages งบการเงิน, P/E Ratio, ROE, รายได้, กำไร และปัจจัยทางเศรษฐกิจ
ระยะเวลาการลงทุน เน้นระยะสั้นถึงกลาง (Day Trading, Swing Trading) เน้นระยะกลางถึงยาว (Value Investing, Growth Investing)
ความเหมาะสม เหมาะกับเทรดเดอร์ที่เก็งกำไรระยะสั้น เหมาะกับนักลงทุนที่ถือหุ้นระยะยาว

โดยสรุป การวิเคราะห์ทางเทคนิคเหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการทำกำไรจากความเคลื่อนไหวของราคาในระยะสั้น ขณะที่การวิเคราะห์เชิงพื้นฐานเหมาะกับนักลงทุนที่มองหาการเติบโตของบริษัทในระยะยาว นักลงทุนบางคนอาจเลือกใช้ทั้งสองวิธีร่วมกันเพื่อเพิ่มโอกาสในการลงทุน

Figure การวิเคราะห์ทางเทคนิคคือการศึกษาพฤติกรรมราคา ขณะที่การวิเคราะห์พื้นฐานคือการประเมินมูลค่าหุ้น

เครื่องมือสำคัญในการวิเคราะห์ทางเทคนิค

1. ทำความเข้าใจแนวโน้ม (Trend) และแนวรับแนวต้าน (Support & Resistance)

การวิเคราะห์แนวโน้ม และแนวรับแนวต้านช่วยให้เทรดเดอร์เห็นภาพกว้างของพฤติกรรมราคา และวางแผนกำหนดจุดซื้อ-ขาย รวมทั้งตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) ได้แม่นยำขึ้น

1. แนวโน้ม (Trend) – หาแนวโน้มของราคาในตลาด

แนวโน้มบอกทิศทางการเคลื่อนไหวของราคา ซึ่งแบ่งเป็น 3 ประเภท

  • ขาขึ้น (Uptrend): เป็นรูปแบบราคาที่ยกจุดสูงและจุดต่ำสูงขึ้นต่อเนื่อง เหมาะกับการหาจังหวะซื้อ
  • ขาลง (Downtrend): เป็นรูปแบบราคาที่กดจุดสูงและจุดต่ำลดลงต่อเนื่อง เหมาะกับการหาจังหวะขายหรือหลีกเลี่ยงการซื้อ
  • ไซด์เวย์ (Sideway): เป็นรูปแบบราคาที่แกว่งตัวในกรอบแคบ ไม่ชัดเจนว่าจะขึ้นหรือลง

การรู้แนวโน้มช่วยให้เทรดเดอร์เลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสม เช่น เทรดตามแนวโน้ม

2. แนวรับ-แนวต้าน (Support & Resistance) – หาจุดกลับตัวของราคา

เป็นระดับราคาสำคัญที่มีแนวโน้มจะมีเทรดเดอร์หรือนักลงทุนในตลาดเข้ามาซื้อหรือขาย แบ่งเป็น

  • แนวรับ: ระดับราคาที่มักมีแรงซื้อเข้ามาหนุน ทำให้ราคาหยุดตกหรือดีดกลับขึ้น
  • แนวต้าน: ระดับราคาที่มักมีแรงขายกดดัน ทำให้ราคาหยุดขึ้นหรือปรับตัวลง

สองจุดนี้มักถูกนำมาใช้เป็นจุดวางกลยุทธ์เพื่อเข้าทำการซื้อขายเพื่อให้ได้ราคาที่ได้เปรียบที่สุด

Figure การวิเคราะห์แนวโน้มประกอบด้วย 2 ส่วนสำคัญคือ แนวโน้ม และแนวรับแนวต้าน

2. อินดิเคเตอร์ยอดนิยม: RSI, MACD, Moving Averages

อินดิเคเตอร์ในการวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยวิเคราะห์แนวโน้มและแรงส่งของราคาเพื่อหาจังหวะเข้าซื้อ-ขายที่แม่นยำขึ้น ซึ่งอินดิเคเตอร์ยอดนิยมที่ใช้กันแพร่หลาย ได้แก่ RSI, MACD และ Moving Averages

1. RSI (Relative Strength Index) – วัดความแข็งแกร่งของราคา

RSI เป็นอินดิเคเตอร์กลุ่มโมเมนตัมที่ช่วยระบุภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) หรือขายมากเกินไป (Oversold) โดยมีค่าอยู่ระหว่าง 0-100

  • RSI มากกว่า 70: หุ้นปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งจนอาจอยู่ในภาวะซื้อมากเกินไป และอาจเกิดการปรับฐาน
  • RSI ต่ำกว่า 30: หุ้นปรับตัวลงอย่างแข็งแกร่งจนอาจอยู่ในภาวะขายมากเกินไป และอาจเกิดการดีดกลับ

2. MACD (Moving Average Convergence Divergence) – จับสัญญาณแนวโน้ม

MACD มีแนวคิดคร่าว ๆ ด้วยการใช้ เส้น MACD (ส่วนต่างระหว่างเส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้นและระยะยาว) และเส้น Signal (เส้นค่าเฉลี่ยของ MACD) เพื่อระบุจุดเข้าซื้อขาย

  • เมื่อ เส้น MACD ตัดขึ้นเหนือเส้น Signal → แสดงโมเมนตัมราคาขาลงเริ่มอ่อนลง อาจเป็นสัญญาณซื้อ
  • เมื่อ เส้น MACD ตัดลงต่ำกว่าเส้น Signal → แสดงโมเมนตัมราคาขาขึ้นเริ่มอ่อนลง อาจเป็นสัญญาณขาย

3. Moving Averages – ติดตามแนวโน้มราคา

Moving Averages (เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่) เป็นเส้นที่ช่วยแสดงแนวโน้มของราคาในระยะต่าง ๆ ได้ เช่น

  • SMA 50, 200 วัน: ใช้ดูแนวโน้มระยะกลางถึงยาว
  • EMA 20, 50 วัน: ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาที่รวดเร็วขึ้น
  • EMA ระดับต่ำกว่าวัน: ใช้ในการมองแนวรับแนวต้านของการเทรดในระยะที่สั้นลงในระดับไม่เดย์เทรด

Figure การวิเคราะห์ทางเทคนิคด้วยอินดิเคเตอร์มีหลากหลาย เช่น RSI, MACD และ Moving Average

3. รูปแบบกราฟแท่งเทียน: รูปแบบกลับตัว รูปแบบต่อเนื่อง

Candlestick Patterns หรือ รูปแบบแท่งเทียน เป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญในการวิเคราะห์ทางเทคนิค ซึ่งช่วยให้เทรดเดอร์เข้าใจพฤติกรรมของราคาและแรงซื้อขายในตลาด โดยรูปแบบแท่งเทียนที่นิยมแบ่งเป็น 2 ประเภทหลัก คือ

1. รูปแบบกลับตัว (Reversal Patterns) – สัญญาณการเปลี่ยนแนวโน้ม

  • Bullish Engulfing: แท่งเขียวครอบแท่งแดงก่อนหน้า บ่งบอกแรงซื้อกลับตัวขึ้น
  • Bearish Engulfing: แท่งแดงครอบแท่งเขียวก่อนหน้า บ่งบอกแรงขายกลับตัวลง
  • Hammer & Inverted Hammer: แท่งที่มีไส้ยาวด้านล่าง แสดงถึงแรงซื้อที่เริ่มกลับมา

2. รูปแบบต่อเนื่อง (Continuation Patterns) – สัญญาณแนวโน้มที่ดำเนินต่อไป

  • Rising Three Methods & Falling Three Methods: รูปแบบที่แท่งเทียนแสดงการปรับฐาน 3 แท่งต่อเนื่อง และเคลื่อนกลับในแนวโน้มเดิม

Figure การวิเคราะห์ทางเทคนิคด้วยกราฟแท่งเทียน แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ รูปแบบกลับตั และรูปแบบต่อเนื่อง

ตัวอย่างการวางกลยุทธ์การเทรดด้วยการวิเคราะห์ทางเทคนิค

1. กำหนดกรอบกลยุทธ์

เป้าหมาย: ทำกำไรจากการแกว่งตัวของราคาหุ้น (Swing Trading)

กรอบเวลา: ใช้กราฟรายวัน (Daily Chart)

เครื่องมือที่ใช้

  • แนวโน้มและแนวรับแนวต้าน: เพื่อระบุทิศทางราคาและจุดกลับตัว
  • RSI: เพื่อวัดความแข็งแกร่งของราคาและระบุภาวะซื้อมากเกินไป/ขายมากเกินไป
  • รูปแบบกราฟแท่งเทียน: เพื่อยืนยันสัญญาณและหาจังหวะเข้าซื้อขาย

2. ขั้นตอนการวิเคราะห์

  1. วิเคราะห์แนวโน้ม
    • ดูกราฟรายวันของหุ้น เพื่อหาแนวโน้มหลัก (Uptrend, Downtrend, Sideway)
    • ลากเส้นแนวโน้ม (Trendline) เพื่อยืนยันแนวโน้ม
  2. ระบุแนวรับแนวต้าน
    • ลากเส้นแนวรับ (Support) และแนวต้าน (Resistance) จากจุดสูงสุดและต่ำสุดในอดีต
  3. ใช้ RSI
    • ดูค่า RSI เพื่อหาระดับ Overbought (RSI > 70) และ Oversold (RSI < 30)
    • สังเกตจุดที่มีโอกาสเกิดการสวิงของราคาเมื่อ RSI เข้าสู่ภาวะ Overbought หรือ Oversold
  4. หารูปแบบกราฟแท่งเทียน
    • มองหารูปแบบกราฟแท่งเทียนที่สำคัญ เช่น Bullish Engulfing, Bearish Engulfing, Hammer, Doji
    • ใช้รูปแบบเหล่านี้เพื่อยืนยันการกลับตัวที่จุดสวิง

3. กลยุทธ์การเทรด

  1. รอสัญญาณเข้าทำการซื้อขาย
    • รอให้ราคาหุ้นชนแนวรับสำคัญ พร้อมกับสัญญาณยืนยันของโมเมนตัมการลงที่อ่อนตัวจาก RSI
    • มองหารูปแบบกราฟแท่งเทียน Bullish ที่แสดงการกลับตัวที่เกิดขึ้นบริเวณแนวรับ
  2. เข้าซื้อ
    • เมื่อได้สัญญาณยืนยันที่ชัดเจน ให้เข้าซื้อหุ้น
    • ตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) ใต้แนวรับสำคัญ
  3. ติดตามผล
    • ติดตามราคาหุ้นอย่างใกล้ชิด และสังเกตสัญญาณจากเครื่องมือที่ใช้
    • หาก RSI เข้าสู่ภาวะ Overbought หรือ MACD ตัดลง ให้พิจารณาขายทำกำไร
  4. ขายทำกำไร
    • เมื่อราคาหุ้นถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ หรือมีสัญญาณกลับตัวที่ชัดเจน ให้ขายทำกำไร
    • หากราคาหุ้นไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ และชนจุดตัดขาดทุน ให้ตัดขาดทุน

Figure เมื่อนำการวิเคราะห์เทคนิคมารวมกันจะสามารถประกอบเป็นกลยุทธืการเทรดอย่างง่ายได้

สรุป

การวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นการวิเคราะห์พฤติกรรมราคาหุ้นในอดีตเพื่อคาดการณ์แนวโน้มในอนาคต บทความนี้ได้แนะนำกลยุทธ์การเทรดหุ้นหลากหลายรูปแบบ เช่น Scalping, Day Trading และ Swing Trading พร้อมพาไปทำความรู้จักกับอินดิเคเตอร์สำคัญ เช่น RSI, MACD และ Moving Averages ที่ช่วยให้การวิเคราะห์มีความแม่นยำยิ่งขึ้น รวมถึงรูปแบบกราฟราคาอย่างง่ายที่เป็นตัวช่วยวิเคราะห์ราคาและเพิ่มโอกาสในการทำกำไรจากการเทรดทั้งสำหรับเทรดเดอร์และนักลงทุน

อ้างอิง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *