ราคาหุ้นขึ้นลงได้อย่างไร เรียนรู้กลไกแบบละเอียด

ความรู้พื้นฐาน : มูลค่าของหุ้นและตลาดหุ้น

สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนในตลาดหุ้น ควรมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับตลาดหุ้นเสียก่อน ซึ่งความรู้พื้นฐานควรเริ่มจากการทำความรู้จักกับ มูลค่าของหุ้น และตลาดหุ้น สามารถศึกษาได้ ดังนี้

มูลค่าของหุ้น

มูลค่าของหุ้น (Stock Value) หมายถึง การประเมินค่าของหุ้นในบริษัทหนึ่งๆ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นสองประเภทหลักๆ ได้แก่

  • มูลค่าตลาด (Market Value) : เป็นราคาที่หุ้น ที่ถูกซื้อขายในตลาดหุ้น ราคานี้สะท้อนการประเมินค่าจากตลาด  ซึ่งอิงตามอุปสงค์และอุปทาน ผลการดำเนินงานของบริษัท และปัจจัยภายนอกอื่นๆ
  • มูลค่าทางบัญชี (Book Value) : เป็นมูลค่าที่คำนวณจากข้อมูลในงบการเงินของบริษัท โดยการหักล้างสินทรัพย์และหนี้สิน เป็นตัวเลขที่บ่งบอกถึงมูลค่า “ที่แท้จริง” ของหุ้น หากบริษัทจะถูกยุบ

ตลาดหุ้น

ตลาดหุ้น (Stock Market) เป็นพื้นที่ หรือแพลตฟอร์ม ที่นักลงทุนสามารถซื้อและขายหุ้นของบริษัทต่างๆ ซึ่งอาจเป็นตลาดซื้อขายหุ้นสาธารณะ หรือตลาดหลักทรัพย์ 

  • ตลาดหุ้นทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างผู้มีเงิน (นักลงทุน) กับบริษัทที่ต้องการเงิน (ผ่านการออกหุ้น) 
  • ช่วยให้บริษัท สามารถเข้าถึงทุน สำหรับการขยายธุรกิจ และให้นักลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน
  • ตลาดหุ้นมีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจโดยรวม เพราะเป็นตัวชี้วัดความเชื่อมั่น และสภาพของเศรษฐกิจ ผ่านดัชนีตลาดหุ้นต่างๆ เช่น S&P 500, Dow Jones Industrial Average, และ NASDAQ

อิทธิพลของอุปสงค์และอุปทานต่อราคาหุ้น

อุปสงค์ (Demand) และอุปทาน (Supply) เป็นสองปัจจัยหลักที่กำหนดราคาหุ้นในตลาดหุ้น ราคาหุ้นจะเปลี่ยนแปลง เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงระดับของอุปสงค์หรืออุปทาน สำหรับหุ้นนั้นๆ

อุปสงค์ต่อหุ้น

  • อุปสงค์ต่อหุ้น เกิดขึ้นเมื่อนักลงทุนต้องการซื้อหุ้นบริษัท เมื่อมีนักลงทุนจำนวนมาก ต้องการซื้อหุ้นมากกว่าที่มีอยู่ในตลาด ราคาหุ้นนั้นๆ จะเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้ขายสามารถเรียกราคาที่สูงขึ้นได้

อุปทานของหุ้น

  • อุปทานของหุ้น เกิดจากการที่ผู้ถือหุ้นปัจจุบันต้องการขายหุ้นของพวกเขา เมื่อมีหุ้นเปิดตัวในตลาด มากกว่าความต้องการ ราคาหุ้นจะลดลง เนื่องจากผู้ขายต้องการขายหุ้นของตน และอาจต้องลดราคาเพื่อดึงดูดผู้ซื้อ

ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่ออุปสงค์และอุปทาน

  • ผลการดำเนินงานของบริษัท : รายงานผลกำไรที่ดี และการเติบโตของบริษัท มักจะเพิ่มอุปสงค์สำหรับหุ้นของบริษัทนั้นๆ
  • สภาวะเศรษฐกิจ : ความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง เพิ่มความต้องการลงทุนในหุ้น
  • นโยบายด้านเงินตราและทางการเงิน : อัตราดอกเบี้ยต่ำ และนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย มักส่งเสริมให้มีการลงทุนมากขึ้นในหุ้น
  • ข่าวสารและเหตุการณ์ : ข่าวสารเชิงบวกหรือเชิงลบ สามารถส่งผลต่ออุปสงค์หรืออุปทานของหุ้นได้

การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน และการวิเคราะห์งบการเงินต่อราคาหุ้น

การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน เป็นกระบวนการศึกษา และประเมินค่าของบริษัท โดยการตรวจสอบข้อมูลทางการเงินและการดำเนินงาน หนึ่งในเครื่องมือหลัก สำหรับการวิเคราะห์นี้ คือ งบการเงินของบริษัท ซึ่งประกอบด้วย

1. งบดุล (Balance Sheet)

  • สินทรัพย์ (Assets) : ค่าของทรัพย์สินที่บริษัทครอบครอง เช่น เงินสด อสังหาริมทรัพย์ สต็อก และเครื่องจักร
  • หนี้สิน (Liabilities) : หนี้หรือภาระผูกพันทางการเงินที่บริษัทต้องชำระ เช่น สินเชื่อ เงินกู้ยืม
  • ทุนของผู้ถือหุ้น (Shareholder’s Equity) : มูลค่าที่เหลืออยู่ หลังจากหักหนี้สินจากสินทรัพย์

2. งบกำไรขาดทุน (Income Statement)

  • รายได้ (Revenue) : รายได้ทั้งหมดที่บริษัทสร้างขึ้น จากการขายสินค้าหรือบริการ
  • ต้นทุนขาย (Cost of Goods Sold, COGS) : ต้นทุนในการผลิต หรือจัดหาสินค้า หรือบริการที่ขาย
  • กำไรสุทธิ (Net Profit) : รายได้ที่เหลือ หลังจากหักทุกค่าใช้จ่าย

3. งบกระแสเงินสด (Cash Flow Statement)

  • กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (Operating Activities) : กระแสเงินสดที่ได้จากกิจกรรมหลักของบริษัท
  • กระแสเงินสดจากการลงทุน (Investing Activities) : การใช้จ่ายหรือรายได้จากการลงทุน
  • กระแสเงินสดจากการเงิน (Financing Activities) : กระแสเงินสดที่เกี่ยวข้องกับการเบิกเงินหรือชำระหนี้

การวิเคราะห์งบการเงิน

การวิเคราะห์งบการเงิน เกี่ยวข้องกับการเปรียบเทียบ และการคำนวณหลายอย่าง เช่น

  • อัตราส่วนทางการเงิน (Financial Ratios) : การวิเคราะห์อัตราส่วน เช่น อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน อัตราส่วนกำไรสุทธิ อัตราส่วนการหมุนเวียนสินค้าคงคลัง เพื่อประเมินสภาพคล่อง ความเสี่ยง และความมีประสิทธิภาพ
  • การเติบโต : การวิเคราะห์เทรนด์ของรายได้และกำไร เพื่อประเมินศักยภาพในอนาคต
  • เปรียบเทียบกับอุตสาหกรรม : การเปรียบเทียบผลการดำเนินงานของบริษัทกับคู่แข่ง และมาตรฐานของอุตสาหกรรม

อิทธิพลจากข่าวสารและรายงานเศรษฐกิจ

ราคาหุ้นมีการขึ้นลง ส่วนหนึ่งเพราะได้รับอิทธิพลมาจากข่าวสาร และรายงานทางเศรษฐกิจ ดังนั้น นักลงทุนควรศึกษาเกี่ยวกับข่าวสารและรายงานเศรษฐกิจ ก่อนลงทุนด้วยเช่นกัน

ข่าวสารที่มีอิทธิพลต่อราคาหุ้น

ราคาหุ้น สามารถได้รับอิทธิพลจากข่าวสารหลากหลายประเภท ดังนี้

  • ข่าวเกี่ยวกับบริษัท : รวมถึงรายงานผลกำไร การเปลี่ยนแปลงในการจัดการ การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือการฟ้องร้องทางกฎหมาย
  • ข่าวเศรษฐกิจ : เช่น การเปลี่ยนแปลงในอัตราดอกเบี้ย รายงานการจ้างงาน และตัวเลข GDP
  • ข่าวสารทางการเมือง : เหตุการณ์เช่น การเลือกตั้ง นโยบายใหม่ หรือความขัดแย้งทางการเมือง
  • เหตุการณ์ทั่วโลก : เช่น ภัยธรรมชาติ วิกฤติสาธารณสุข หรือความตึงเครียดทางการก่อการร้าย

อิทธิพลของรายงานเศรษฐกิจ

รายงานเศรษฐกิจ มีผลต่อความคาดหมายของตลาด และสามารถส่งผลต่อราคาหุ้นโดยตรง เช่น

  • อัตราดอกเบี้ย : การเพิ่มหรือลดอัตราดอกเบี้ย สามารถมีผลต่อต้นทุนการกู้ยืม และความสามารถในการลงทุน
  • รายงานการจ้างงาน : ตัวชี้วัดสำคัญของสภาพเศรษฐกิจ ที่มีผลต่อการบริโภค และการลงทุน
  • ข้อมูลการเติบโตเศรษฐกิจ (GDP) : มีผลต่อความคาดหมายเกี่ยวกับอนาคตของตลาด และศักยภาพการเติบโตของบริษัท

การวิเคราะห์ทางเทคนิคและตัวชี้วัดต่างๆ

การวิเคราะห์ทางเทคนิค เป็นวิธีการศึกษาตลาดหุ้น โดยใช้ข้อมูลประวัติศาสตร์ของราคาหุ้น และปริมาณการซื้อขาย เพื่อพยากรณ์ทิศทางราคาในอนาคต นักวิเคราะห์ทางเทคนิคใช้ตัวชี้วัดต่างๆ และกราฟ เพื่อตรวจสอบรูปแบบและแนวโน้ม ตัวชี้วัดหลักที่ใช้ในการวิเคราะห์ทางเทคนิค ได้แก่

แนวโน้ม (Trends)

  • แนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) : เมื่อราคาหุ้นเคลื่อนไหวในทิศทางที่สูงขึ้นเป็นเวลานาน
  • แนวโน้มขาลง (Downtrend) : เมื่อราคาหุ้นเคลื่อนไหวในทิศทางที่ลดลงเป็นเวลานาน
  • แนวโน้มออกข้าง (Sideways Trend) : เมื่อราคาหุ้นไม่มีทิศทางที่ชัดเจน และเคลื่อนไหวในช่วงที่จำกัด

การสนับสนุนและการต้านทาน (Support and Resistance)

  • การสนับสนุน (Support) : คือ ระดับราคาที่หุ้นไม่น่าจะลดลงต่ำกว่า
  • การต้านทาน (Resistance) : คือ ระดับราคาที่หุ้นไม่น่าจะเพิ่มขึ้นเกินกว่า

ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages)

  • ค่าเฉลี่ยของราคาหุ้นในช่วงเวลาที่กำหนด ช่วยระบุแนวโน้มราคา และปรับเปลี่ยนระดับสนับสนุน และต้านทาน

ตัวชี้วัดความแข็งแกร่งสัมพันธ์ (Relative Strength Index, RSI)

  • ตัวชี้วัดการซื้อมากไป (Overbought) หรือการขายมากไป (Oversold) ของหุ้น เพื่อระบุจุดเปลี่ยนที่อาจเกิดขึ้นในราคาหุ้น

แมคดี (MACD)

  • คือการติดตามแนวโน้มราคา โดยการใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบเร่ง (Exponential Moving Averages) สองสาย เพื่อตรวจสอบสัญญาณซื้อหรือขาย

การใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิค

การวิเคราะห์ทางเทคนิค สามารถให้ข้อมูลเชิงลึก และช่วยในการตัดสินใจลงทุน แต่มันควรใช้ร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน และพิจารณาปัจจัยอื่นๆ เช่น สภาพเศรษฐกิจโดยรวม และสภาพแวดล้อมทางการเมือง โดยจุดประสงค์ของการใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิค คือ

  • เพื่อตัดสินใจซื้อหรือขายหุ้น โดยอิงจากสัญญาณที่ได้จากตัวชี้วัด และรูปแบบกราฟ
  • เพื่อตั้งค่าคำสั่งหยุดขาดทุน (Stop-loss orders) หรือระบุเป้าหมายราคา
  • เพื่อประเมินความเสี่ยงและจัดการพอร์ตการลงทุน

บทบาทของนักวิเคราะห์และการคาดการณ์ตลาดต่อราคาหุ้น

ผลการวิเคราะของนักวิเคราะห์และการคาดการณ์ตลาด ส่งผลต่อราคาหุ้น เนื่องจากหากนักลงทุนได้ติดตาม และคิดตามว่าจะมีแนวโน้มตามที่ได้วิเคราะห์และคาดการณ์ ก็จะทำให้เกิดการตัดสินใจซื้อขาย ทำให้ราคามีการเปลี่ยนแปลง

บทบาทของนักวิเคราะห์

นักวิเคราะห์ตลาดหุ้น มีบทบาทสำคัญในการประเมินมูลค่าของบริษัท และหุ้นของพวกเขา พวกเขาใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิค และการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน เพื่อทำนายทิศทางของราคาหุ้นในอนาคต

  • การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน : ศึกษาสภาพการเงินของบริษัท ผลการดำเนินงาน อุตสาหกรรม และเศรษฐกิจโดยรวม
  • การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ศึกษารูปแบบราคา และปริมาณการซื้อขาย เพื่อหาสัญญาณซื้อหรือขาย

การคาดการณ์ตลาด

นักวิเคราะห์ให้การคาดการณ์ หรือแนะนำเกี่ยวกับหุ้นต่างๆ ดังนี้

  • ราคาเป้าหมาย (Target Price) : คือ การคาดการณ์ราคาที่นักวิเคราะห์ คิดว่าหุ้นควรมีค่าอยู่
  • คำแนะนำในการซื้อหรือขาย (Buy/Sell Recommendations) : ขึ้นอยู่กับการประเมินค่าและทิศทาง ที่คาดว่าหุ้นจะเคลื่อนไหว

อิทธิพลต่อราคาหุ้น

  • คำแนะนำของนักวิเคราะห์ : รายงานและคำแนะนำของนักวิเคราะห์ สามารถมีอิทธิพลต่อราคาหุ้นโดยตรง เมื่อนักวิเคราะห์มีชื่อเสียงดี คำแนะนำของพวกเขาอาจนำไปสู่การเคลื่อนไหวของราคาหุ้นอย่างรวดเร็ว
  • การคาดการณ์ตลาด : การคาดการณ์เกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม อุตสาหกรรม หรือเหตุการณ์ทางการเมือง สามารถส่งผลต่อมุมมองของนักลงทุน และทำให้ราคาหุ้นเปลี่ยนแปลง

ความสำคัญของนโยบายทางการเงินและการเมืองต่อราคาหุ้น

นโยบายทางการเงินและการเมือง มีบทบาทสำคัญต่อราคาหุ้นในหลายด้าน ดังนี้

นโยบายทางการเงิน

  • อัตราดอกเบี้ย : ธนาคารกลางใช้อัตราดอกเบี้ย เป็นเครื่องมือหลัก ในการควบคุมนโยบายทางการเงิน อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ ส่งเสริมการกู้ยืมและการลงทุน ซึ่งสามารถเพิ่มราคาหุ้นได้ ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่สูง อาจลดการกู้ยืมและการลงทุน ซึ่งอาจนำไปสู่การลดลงของราคาหุ้น
  • นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย (Quantitative Easing) : การพิมพ์เงินและการซื้อสินทรัพย์โดยธนาคารกลาง สามารถเพิ่มเงินสดในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งอาจนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของราคาหุ้น

นโยบายการเมือง

  • นโยบายภาษี : การเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษี เช่น การลดภาษีสำหรับบริษัท สามารถเพิ่มกำไรหลังภาษีของบริษัท และอาจนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของราคาหุ้น
  • นโยบายการค้า : การเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้า เช่น การเรียกเก็บภาษีนำเข้าและส่งออก สามารถมีผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายและรายได้ของบริษัทที่เกี่ยวข้อง ซึ่งส่งผลต่อราคาหุ้น
  • ความมั่นคงและความไม่แน่นอนทางการเมือง : ความไม่แน่นอนทางการเมือง เช่น การเปลี่ยนแปลงในการบริหารราชการ และความขัดแย้ง สามารถนำไปสู่ความไม่แน่นอนในตลาด และอาจส่งผลให้ราคาหุ้นลดลง

สภาพจิตวิทยาของนักลงทุนและกระแสตลาดต่อราคาหุ้น

สภาพจิตวิทยาของนักลงทุนแต่ละคน และกระแสตลาดในแต่ละช่วง ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อ และการตัดสินใจขาย ย่อมส่งผลต่อราคหุ้น โดยมีรายละเอียด ดังนี้

สภาพจิตวิทยาของนักลงทุน

สภาพจิตวิทยาของนักลงทุน เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อราคาหุ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีการตัดสินใจลงทุนที่ขับเคลื่อนโดยอารมณ์และความรู้สึก มากกว่าข้อมูลและการวิเคราะห์ ที่เป็นเหตุเป็นผล ตัวอย่างของสภาพจิตวิทยาของนักลงทุน ได้แก่

  • ความโลภและความกลัว (Greed and Fear) : ความโลภสามารถผลักดันราคาหุ้นให้สูงขึ้นผิดปกติ ในขณะที่ความกลัวสามารถนำไปสู่การขายหุ้นอย่างรวดเร็ว และทำให้ราคาลดลงอย่างมาก
  • ผู้คนส่วนใหญ่ (Herd Behavior) : นักลงทุนมักติดตามพฤติกรรมของผู้คนส่วนใหญ่ โดยไม่คำนึงถึงข้อมูลหรือการวิเคราะห์แบบเป็นอิสระ
  • การยืนยันความเชื่อ (Confirmation Bias) : การมองหาหรือให้น้ำหนักกับข้อมูล ที่ยืนยันความเชื่อที่มีอยู่แล้ว ทำให้ละเลยข้อมูลที่ขัดแย้ง ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อขาย

กระแสตลาด

กระแสตลาด หมายถึง ทิศทางโดยรวมหรืออารมณ์ ที่นักลงทุนมีต่อตลาดหุ้นในช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งสามารถส่งผลต่อราคาหุ้นได้ ดังนี้

  • กระแสตลาดบวก (Bull Market) : ความมั่นใจที่สูง และความคาดหมายที่ดี ทำให้เกิดกระแสตลาดบวก นำไปสู่การเพิ่มขึ้นของราคาหุ้น
  • กระแสตลาดลบ (Bear Market) : ความไม่แน่นอนและความกลัว ทำให้เกิดกระแสตลาดลบ ซึ่งส่งผลให้ราคาหุ้นลดลง
  • การปรับตัวของตลาด (Market Corrections) : หลังจากมีการเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างรวดเร็วของราคาหุ้น ตลาดอาจมีการปรับตัว เพื่อสะท้อนมูลค่าที่เหมาะสมมากขึ้น

สรุป ราคาหุ้น ขึ้นลงได้อย่างไร เรียนรู้กลไกแบบละเอียด

จากข้อมูลด้านบนนี้ คือปัจจัยต่างๆ หรือกลไก ที่ส่งผลต่อราคาหุ้น ทำให้เกิดราคาขึ้นลง สำหรับท่านใดที่กำลังเริ่มต้นเป็นนักลงทุน ขอแนะนำให้ศึกษาเกี่ยวกับกลไกเหล่านี้อย่างละเอียด เพื่อการตัดสินใจที่ถูกต้อง และเพื่อความสำเร็จในการลงทุนในตลาดหุ้น นั่นเอง